คุณค่าของรอยยิ้มความหมายที่หลากหลายและดีงาม

1
(รูปประกอบบทความ มิใช่เหตุการณ์จริง)

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วช่วงโรงเรียนปิดเทอม ขณะที่ผู้เขียนกำลังขับรถจะเข้าหมู่บ้านได้สังเกตเห็นเด็กชาย อายุประมาณ 15 ปี แต่งกายค่อนข้างมอมแมมกำลังเช็ดกระจกตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับถนนตรงปากทางเข้าหมู่บ้านของผู้เขียน ด้วยเป็นทางโค้งรถยนต์ทุกคันจะต้องชะลอความเร็วก่อนเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน ผู้เขียนสังเกตเห็นคนขับรถแทบทุกคันหันไปมองเด็กชายในตู้โทรศัพท์แห่งนั้น และสังเกตเห็นเขาเหนียมอายไร้ความมั่นใจและไม่กล้าสบตากับใคร แต่เหลือบมองรถยนต์ทุกคันที่ชะลอตรงหน้าตู้โทรศัพท์ดังกล่าว

ผู้เขียนคาดเดาว่าคงจะเป็นเด็กนักเรียนรับจ้างทำงานในช่วงปิดเทอมขององค์การโทรศัพท์ เขาคงรู้สึกอายและอาจรู้สึกว่างานที่ทำต่ำต้อยด้อยค่าจนขาดความมั่นใจในตนเอง และบังเอิญช่วงเวลานั้นผู้เขียนมีเหตุต้องขับรถเข้าออกหมู่บ้านหลายครั้ง เมื่อขับรถถึงบริเวณตู้โทรศัพท์นั้นอีกครั้ง ก็ยังคงเห็นเด็กชายคนดังกล่าวทำความสะอาดตู้โทรศัพท์อยู่เช่นเดิม ผู้เขียนจึงชะลอรถและกดแตรรถส่งสัญญาณให้เด็กคนนั้น เมื่อเขาหันหน้ามามอง ผู้เขียนจึงยิ้มให้เต็มใบหน้าพร้อมทั้งชูนิ้วหัวแม่มือให้เขา ตอนแรกเขาทำหน้างงๆ แต่ผู้เขียนก็ยังคงยิ้มพร้อมชูนิ้วหัวแม่มือให้และชี้ไปที่ตัวเขา เพื่อพยายามจะสื่อสารว่าชื่นชมเขา สักครู่หนึ่งเขายิ้มให้เต็มใบหน้ามีแววตาที่เบิกบานและตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดตู้โทรศัพท์ด้วยความขมักเขม้น โดยไร้ความเหนียมอายอีกต่อไป

นกระทั่งผู้เขียนขับรถเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง สังเกตเห็นเด็กชายคนดังกล่าวกล้าที่จะมองใครๆ ที่ขับรถผ่านไปมา และเมื่อผู้เขียนกดแตรรถให้อีกครั้ง ปรากฏว่าเขาลุกขึ้นยืนเช็ดตู้โทรศัพท์ด้วยความมั่นใจและส่งยิ้มให้เต็มใบหน้าเช่นเดิม เหตุการณ์ดังกล่าวผู้เขียนมีความปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยให้เด็กคนหนึ่งมีความมั่นใจในตนเอง เห็นว่าสิ่งที่เขาทำว่าเป็นเรื่องที่ดีและมีคุณค่า เพราะตอนแรกสังเกตเห็นว่าเขาเหนียมอายและไร้ความมั่นใจในตนเอง อาจด้วยรู้สึกว่างานที่ทำเป็นเรื่องน่าอายและไร้คุณค่า แต่การส่งยิ้มให้จากผู้เขียนในครั้งนั้นมีความหมายมากมายต่อเขาดังนี้

2
(รูปประกอบบทความ มิใช่เหตุการณ์จริง)

1) ยิ้มหมายถึง #ชื่นชมและยอมรับในสิ่งที่เขาทำว่าเป็นคุณงามความดี
2) ยิ้มหมายถึง #รางวัลซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ส่งให้แก่การทำงานของเขา
3) ยิ้มหมายถึง #มิตรภาพจากผู้พบเห็นที่ไม่รู้จักและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆต่อเขา
4) ยิ้มหมายถึง #กำลังใจที่ส่งให้แก่เขา
5) ยิ้มหมายถึง #ความภาคภูมิใจในตัวเขา

รอยยิ้มครั้งนั้นส่งผลต่อเด็กชายคนดังกล่าวให้มีพลังกายพลังใจตลอดจนชื่นชมและเชื่อมั่นในตนเอง จนก้าวข้ามความเหนียมอายไปได้ ด้วยสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมจริงๆ

แต่สาธารณชนส่วนใหญ่มักมิได้ร่วมกันส่งยิ้มเพื่อชื่นชมซึ่งกันและกัน ยิ่งเป็นคนที่ไม่รู้จักกันแล้วยิ่งไม่ใส่ใจกันเลย จากเหตุการณ์ดังกล่าวผู้เขียนยืนยันได้ว่ารอยยิ้มที่จริงใจ มีความหมายด้านดีมากมายที่สามารถหยิบยื่นให้แก่กันละกันได้โดยมิต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แต่เป็นน้ำใจที่พึงมีต่อกันซึ่งเกิดจากการสำนึกในคุณค่าของกันและกัน ดังเช่นที่ผู้เขียนรู้สึกถึงความมีคุณค่าของเด็กคนดังกล่าวที่ทำความสะอาดตู้โทรศัพท์แล้วส่งยิ้มให้นั่นเอง

จากผลการวิจัยบ่งชี้ชัดเจนว่า เมื่อคนเรายิ้มจะส่งผลให้เกิดการหลั่งสารเคมีในสมองคือ สารเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ดังนั้นทันทีที่ยิ้มผู้ที่ได้ประโยชน์คนแรกคือตัวเรานั่นเอง โดยจะรู้สึกปีติสุขขึ้นมา และยังมีการศึกษาต่อไปอีกว่าแม้ขณะนั้นจะทุกข์ใจอยู่ก็ตาม เมื่อฝืนใจยิ้มปรากฏว่าสารเอ็นดอร์ฟินก็หลั่งเช่นกัน นอกจากนั้นจากผลการวิจัยของ Mccanne และ Anderson (1987) พบว่าการทำให้ผู้ป่วยยิ้มได้มากขึ้นจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีและฟื้นจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น ตรงกันข้ามกับผู้ป่วยที่มีใบหน้าอมทุกข์เศร้าหมองจะทำให้อาการป่วยทรุดหนักกว่าเดิม หรือไม่อาการเจ็บป่วยก็จะทรงตัวอยู่เป็นเวลานานกว่าจะหาย และการเก็บกดสีหน้าในขณะเครียดคือพยายามไม่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ให้พยายามยิ้มแทนก็จะลดอารมณ์เครียดได้เช่นกัน

การยิ้มยังถือว่าเป็นภาษากายที่เป็นภาษาสากลซึ่งให้ความหมายเหมือนกันทุกชาติทุกภาษา ดังที่ Ekmen & Friesen (1975) กล่าวว่า #คนทั่วโลกยิ้มเมื่อมีความสุขดังนั้นการยิ้มจึงเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสุขที่เป็นสากล และเมื่อเรายิ้มจะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิต่ำลงและเมื่อสมองมีอุณหภูมิต่ำลงจะทำให้มีความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งจะตรงกันข้ามกับการทำหน้านิ้วคิ้วขมวด นอกจากนั้นในขณะที่เรายิ้มหัวใจจะเต้นช้าลงความดันโลหิตก็ลดลง ระบบต่างๆในร่างกายจะผ่อนคลายลง ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีนซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย แต่ฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขจะหลั่งออกมามากขึ้น

ในด้านพระพุทธศาสนาการยิ้มถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความปิติยินดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดมิตรไมตรีทั้งตัวเองและบุคคลรอบข้าง การยิ้มยังหมายถึงการแสดงคุณธรรมแห่งมุทิตาจิตคือการยินดีปรีดาต่อสรรพสิ่งต่างๆ การยิ้มยังอาจมีความหมายถึงการทำบุญที่เรียกว่าปัตตานุโมทนามัยอีกด้วย ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าสิตะหมายถึงรอยยิ้มของพระพุทธเจ้า หสิตะหมายถึงรอยยิ้มของพระอรหันซึ่งเป็นลักษณะของการยิ้มออกมาจากความปิติยินดีในใจและแยกริมฝีปากออกจนเห็นไรฟันนิดหน่อยนั่นเอง

การยิ้มเป็นผลดีทั้งทางโลกและทางธรรมก่อให้เกิดความสงบสุขในจิตใจของตนเอง ทั้งยังสามารถสร้างและสานความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างในสังคมได้อีกด้วย ในทางการประชาสัมพันธ์และการตลาดการยิ้มเป็นเครื่องมือสร้างและสานสัมพันธ์ทางสังคมกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี ดังนั้นรอยยิ้มจึงเป็นทั้งเครื่องมือและเครื่องหมายของมิตรไมตรีที่ดีเยี่ยมโดยไม่ต้องลงทุนใดใดทั้งสิ้น และวันนี้คุณยิ้มให้ตัวเองและผู้อื่นกันแล้วหรือยัง

วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ประธานสถาบันพัฒนาศักยภาพมนุษย์และกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ Wuttipong Academy, กรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิตโรงพยาบาลสวนปรุง

Recommended Posts