อดีตมีไว้ขมขื่น ฤาเรียนรู้
ขณะที่ดีเจลุงแดงกำลังจัดรายการวิทยุอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดีเจลุงแดงรีบรับสาย “สวัสดีครับดีเจลุงแดงครับ” “สวัสดีค่ะ ดิฉันกลุ้มใจมากกับปัญหาชีวิต ไม่รู้จะปรึกษาใคร ปรึกษาญาติพี่น้องทุกคนก็ตำหนิดิฉัน ดิฉันอยากตายคะ” นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนาระหว่างดีเจลุงแดงและผู้ฟังรายการ ดีเจลุงแดงตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่งแล้วเล่าเรื่องราวที่เป็นข้อคิดที่ดีให้เธอฟังจากคนที่มีความทุกข์ใจและย่อท้อแล้วต่อสู้ฟันฝ่าจนแก้ปัญหาได้ นอกจากนั้นดีเจลุงแดงยังเลือกเปิดเพลงที่เป็นการให้กำลังใจให้เธอฟัง และบอกเธอว่าหลังจากจบรายการให้เธอโทรศัพท์มาหาได้อีก ดีเจลุงแดงยินดีที่จะคุยด้วยหลังรายการ แต่ปรากฎว่าหลังเลิกรายการก็ไร้เสียงโทรศัพท์ใดๆโทรหาดีเจลุงแดง
อี กหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ขณะที่ดีเจลุงแดงกำลังจัดรายการอยู่เช่นเดิมก็มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาหาที่สถานีวิทยุ พร้อมนำขนมเค้กกล่องหนึ่งมาฝากและกล่าวขอบคุณดีเจลุงแดง พร้อมกับบอกว่า เธอคือผู้หญิงที่โทรศัพท์มาปรึกษาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ไม่ได้โทรศัพท์กลับมาเพราะว่าหลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าและเพลงที่ให้กำลังใจทำให้เธอได้สติ และกลับไปนอนคิดทบทวนว่าจะตายไปทำไม มีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้จะดีกว่า แม้วันนี้จะยังทุกข์ใจอยู่ก็ตาม แต่เชื่อว่าอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ขอบคุณดีเจลุงแดงมากๆ ที่หยุดรั้งไม่ให้เธอคิดสั้น #และทำให้เธอคิดได้ว่าอดีตควรมีไว้เรียนรู้มากกว่ามีไว้ขมขื่นและร้าวรานใจ
ความขมขื่นในอดีตเป็นเสมือนมีดกรีดใจผู้ที่เก็บงำไว้โดยไม่รู้จักสลัดทิ้ง จึงเป็นภาพมายาหลอกหลอนจิตตนเองให้หวาดระแวงและหวั่นกลัว กระทั่งหมองหม่นอยู่ตลอดเวลา จนลืมไปว่าเวลาของชีวิตที่แท้จริงนั้น คือเวลาที่เหลือและรออยู่ข้างหน้าต่างหาก มิใช่เวลาในอดีตที่ผ่านไปแล้วและแม้เวลาที่เหลืออยู่เราก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่าเหลือเวลาสำหรับตนอีกกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี การมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องที่สุด คือการอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างมีสติ และเข้าใจชีวิตในสามขณะ คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยการมองเห็นความสัมพันธ์ของห้วงเวลาทั้งสามขณะ
โดยเริ่มต้นจากการมองเห็นอดีตให้เห็นสักแต่ว่าเห็น คำว่าเห็นสักแต่ว่าเห็นนี้ เป็นคำพูดและความจริงในระดับสูงสุดหรือเรียกว่าปรมัตธรรม คือการเห็นที่ไม่กระตุ้นอารมณ์ให้ห่อเหี่ยวหรือฮึกเหิม คือการเห็นเป็นเพียงสภาวะว่ามันเป็นของมันเช่นนั้น ผ่านมาแล้วให้ผ่านไปไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายใดใดทั้งสิ้น สร้างความรู้สึกที่เป็นกลางและนิ่งสงบ พร้อมทั้งมีสติใคร่ครวญ ดูเหตุผล หรือเหตุปัจจัยของการเกิดขึ้น แล้วใช้อดีตนั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อป้องกันปัญหาและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น การคิดและกระทำอย่างนี้จะส่งผลต่อปัจจุบันขณะให้มีสติ และสร้างแต่เหตุดีๆ ในชีวิตได้ในที่สุด
ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตทั้งหลายมักมีอดีตขมขื่นที่สลัดไม่ออกมาหลอกหลอน จนเป็นเหตุให้ชีวิตปัจจุบันแปรปรวนภาษาทางจิตวิทยาเรียกว่าความชอกช้ำทางใจ (psychic trauma) บ้างถูก ข่มเหง ข่มขู่ ข่มขืน อดทนข่มใจไม่ไหว จิตใจจึงระเบิดเกิดเป็นบ้า แต่พลังสติที่เข้าใจชีวิตอย่างไม่ยึดติด แต่เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของชีวิต คือเครื่องมือที่จะช่วยพิชิตสันติสุข
อดีตควรมีไว้เรียนรู้ มิใช่มีไว้สร้างความชอกช้ำให้ตนเอง การเป็นบัณฑิตในวันนี้ก็เพราะการเรียนรู้ ณ ปัจจุบันที่ค่อยๆ เคลื่อนไปเป็นอดีตมิใช่หรือ จนในที่สุดเวลาในอดีตผ่านไป สี่ปีเราจบปริญญาตรี กลายเป็นบัณฑิตซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ของปัจจุบันและอดีต ซึ่งเชื่อมสัมพันธ์กันตลอดมาส่งผลต่อการทำนายอนาคตนั่นเอง
อดีตและปัจจุบันมีไว้เพื่อเรียนรู้ให้เกิดสติจนพ้นทุกข์ ชาวบ้านในอดีตเรียนรู้จักเห็ดพิษด้วยการสังเกตเห็นเห็ดที่ไร้หนอนและไร้สัตว์กิน และบางคนกินแล้วป่วยหรือตายจึงจดจำและบอกต่อว่าเห็ดอย่างนั้นอย่างนี้มีพิษไม่ควรนำมารับประทาน นั่นคือเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เธอเจ็บช้ำจากการถูกผู้ชายหลอกและขืนใจเธอ เหตุหนึ่งเป็นเพราะเธออยู่ในที่ส่วนตัวและลับตาคนกับผู้ชายที่เธอคบหาด้วย โดยไว้วางใจว่าเขาจะไม่ทำอะไร แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวเธอจึงไม่ยอมอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในที่ลับตาคนอีก นั่นคือเธอได้เรียนรู้จากอดีตเช่นกัน
การตัดไม่ขาดจากอารมณ์ความรู้สึกทางลบในอดีตเป็นฝันร้ายที่ทำลายสุขภาพทั้งกายและจิต ที่ทำให้คนเรามีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย ไร้ความหวังและไร้คุณค่า เราควรเลือกเก็บและจดจำแต่ความดีงามท่ามกลางความขมขื่น เฉกเช่นเลือกเห็นแต่ดอกไม้สวยงามบนกองขยะกลางตลาดสด แต่คนส่วนใหญ่มักเห็นแต่แมลงวันและกลิ่นเหม็นของขยะ แทนที่จะเห็นเศษดอกไม้ที่แม่ค้านำมาทิ้งไว้ ดังนั้นการมองหาและมองเห็นเฉพาะอดีตที่ดีงามนั้นจะช่วยให้เกิดพลังใจ ส่วนอดีตที่ปวดร้าวนั้นให้เห็นสักแต่ว่าเห็นก็พอจะช่วยแยกแยะและเก็บจำเฉพาะอดีตส่วนที่ดีงามของชีวิต เพื่อสร้างความหวังและพลังสุขภาพจิตให้แก่ตนจนพ้นทุกข์จากอดีตได้
ดังเช่นพระวิมลาเถรี ในสมัยพุทธกาลนางเป็นหญิงโสเภณีในกรุงเวสาลี ภายหลังจากได้พบและฟังเทศนาธรรมจากพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางจึงเกิดดวงตาเห็นธรรมและได้บวชเป็นพระภิกษุณี ในที่สุดพระวิมลาเถรีเพียรพยายามเจริญกรรมฐานอยู่ไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ โดยไม่นำอดีตมาเป็นตราบาปของชีวิต แต่เพียรพยายามอยู่กับชีวิตปัจจุบัน เพื่อเดินทางสู่สันติสุขอันเป็นนิรันดร์ ด้วยการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะเรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้ธรรมจากอดีตและปัจจุบัน อันเป็นการสร้างเหตุแห่งอนาคตที่ดีนั่นเอง #แล้วคุณหละ!#มีอดีตไว้ขมขื่นหรือเรียนรู้ครับ?